พ่อแม่ที่อยากให้ลูกประสบความสำเร็จในทุก ๆ ด้าน ต้องเริ่มต้นจากปลูกฝังทักษะสมองที่ดี เพราะสมองเป็นอวัยวะสำคัญในกระบวนการคิด วิเคราะห์ ไตร่ตรอง และแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งทักษะดังกล่าว เหล่านักวิชาการเรียกกันว่า ทักษะ EF เป็นทักษะที่ช่วยให้เด็กประสบความสำเร็จ เข้าสังคมได้เก่ง และมีความสุขในการใช้ชีวิตทุกช่วงวัย
ทำความรู้จักทักษะ EF (Executive Function)
ทักษะ EF สำหรับเด็กปฐมวัย คือ ทักษะของสมองส่วนหน้า ช่วยให้เด็กสามารถควบคุม จัดการความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นทักษะที่ไม่ได้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่อาศัยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะวัย 3 – 6 ขวบ ที่ถือเป็นช่วงที่พัฒนาการทางด้านร่างกายและสมองรวดเร็วที่สุด
ทักษะ EF ในเด็กปฐมวัยทั้ง 9 ด้าน ประกอบด้วยอะไรบ้าง
ทักษะ Executive Function ที่จำเป็นต่อพัฒนาการของเด็กปฐมวัย มีด้วยกันทั้งหมด 9 ด้าน ครอบคลุมด้านความคิด การควบคุมตัวเอง และการกระทำ โดยสามารถจัดหมวดหมู่ได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

1. กลุ่มทักษะพื้นฐาน
- ทักษะความจำสำหรับใช้งาน (Working Memory) การจดจำเนื้อหาหรือข้อมูลในชีวิตประจำวัน และสามารถดึงออกมาใช้งานได้อนาคต เช่น จำเนื้อหาในห้องเรียนสำหรับทำข้อสอบ ตอบคำถามในสิ่งที่คุณครูอธิบายไปก่อนหน้า เป็นต้น
- ทักษะยั้งคิดไตร่ตรอง (Inhibitory Control) การไตร่ตรองความคิดก่อนลงมือทำและพูด เพื่อทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น รอให้อีกฝ่ายพูดจบก่อน ค่อยแสดงความคิดเห็น หรือการรอให้พ่อแม่อนุญาตก่อนค่อยเล่นโทรศัพท์มือถือ
- ทักษะการยืดหยุ่นทางความคิด (Shifting/Cognitive Flexibility) สามารถปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ไม่รู้สึกหงุดหงิดที่ไม่ได้ออกไปเที่ยว แต่หากิจกรรมเล่นที่บ้านแทน

2. กลุ่มทักษะกำกับตนเอง
- ทักษะการจดจ่อ (Focus/Attention) สามารถโฟกัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ดี มีสมาธิ ไม่วอกแว เช่น การตั้งใจฟังสิ่งที่ครูสอนในห้องเรียน
- ทักษะการควบคุมอารมณ์ (Emotional Control) สามารถจัดการกับความเครียด อารมณ์ลบต่าง ๆ ได้ดี รวมไปถึงแสดงอารมณ์ออกมาอย่างเหมาะสม ตัวอย่างเช่น ไม่โกรธที่ถูกน้องชายแย่งขนม ไม่หงุดหงิดที่ไม่ได้กินขนมที่ชอบ
- ทักษะการประเมินตัวเอง (Self-Monitoring) การตระหนักรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทบทวนในสิ่งที่ทำไป และหากเกิดข้อผิดพลาดก็จะแก้ไขในทันที เช่น อ่านนิทานเสร็จแล้วก็นำไปเก็บให้เรียบร้อย ถ้าทำโต๊ะสกปรกก็เช็ดให้สะอาด เป็นต้น

3. กลุ่มทักษะการปฏิบัติ
- ทักษะริเร่มและลงมือปฏิบัติ (Initiating) การคิดและตัดสินใจลงมือทำด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องคุณครูหรือพ่อแม่คอยบอก เช่น หยิบจานไปล้างเมื่อกินข้าวเสร็จ
- ทักษะการวางแผนและการจัดการ (Planning and Organizing) การจัดลำดับความสำคัญ ทำงานเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้ชีวิตเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น เช่น ทำการบ้านให้เสร็จก่อนออกไปวิ่งเล่น
- ทักษะการมุ่งมั่นไปให้ถึงเป้าหมาย (Goal-Directed Persistence) การไม่ยอมแพ้ระหว่างทาง ตั้งใจ อดทน และพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น ตั้งใจอ่านหนังสือสอบ เพราะอยากได้เกรดดี
ทักษะ EF สำคัญต่อพัฒนาการของเด็กปฐมวัยอย่างไร
เรียนรู้ได้อย่างเต็มที่
ทักษะ EF ช่วยให้สมองของเด็กปลอดโปร่ง สามารถทำความเข้าใจเนื้อหาต่าง ๆ ในห้องเรียนได้ดี และไม่ว่าเนื้อหาจะยากแค่ไหน ก็จะใจเย็นและค่อย ๆ ศึกษาหาความรู้ เพราะสามารถจัดการอารมณ์ของตัวเองได้ มีความรับผิดชอบ ส่งการบ้านได้ตรงเวลา แถมยังมีเวลาผ่อนคลายให้ตัวเองอีกด้วย
มีความสามารถในการตัดสินใจ
เด็กที่ถูกปลูกฝังทักษะสมองมาเป็นอย่างดี จะมีความสามารถในการตัดสินใจเรื่องของตัวเอง โดยไม่ต้องรอให้ใครบอก ทำให้เด็กมีภาวะความเป็นผู้นำ รู้จักตัวเอง ไม่เกรงใจต่ออุปสรรคที่จะเข้าในอนาคต
มีความสุขง่ายขึ้น
เพราะทักษะ EF ต้องการให้เด็กมีความยืดหยุ่นทางความคิด ไม่จำเป็นต้องทำตามแบบแผนตลอดเวลา แต่มีความคิดสร้างสรรค์ คิดนอกกรอบและตำรา ทำให้เด็กปรับตัวกับสังคมต่าง ๆ ได้ง่าย กล้าที่จะพูดคุยกับเพื่อน และมองหาโอกาสในการสร้างความสุขให้ตัวเองอยู่เสมอด้วย

ตัวอย่างกิจกรรมพัฒนาสมอง ส่งเสริมทักษะ EF ในเด็กปฐมวัย
- การอ่านนิทาน นอกจากช่วยปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ยังฝึกให้เด็กรู้จักจินตนาการถึงเรื่องราวต่าง ๆ รวมถึงการจดจำเนื้อหาในนิทาน
- เกมต่อจิ๊กซอว์ เพื่อฝึกษะการแก้ไขปัญหา คิดวิเคราะห์ว่าชิ้นส่วนคือชิ้นที่ถูกต้อง วางแผนว่าจะเริ่มต่อจากจุดไหนก่อน
- การทำขนม เป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกันได้ทั้งครอบครัว โดยเด็กจะได้ฝึกการชั่ง ตวง วัด หรือการทำขนมตามลำดับขั้นตอน และได้สร้างสรรค์ลวดลายบนขนมด้วยตัวเอง
- การเล่นบอร์ดเกม เพราะบอร์ดเกมจะมีกฎของตัวเอง เด็ก ๆ จะได้ฝึกการทำตามกติกา และการควบคุมอารมณ์ไม่ให้หงุดหงิด เมื่อเล่นเกมแพ้ และอดทนเล่นจนจบตา
สรุป
เพราะเด็กปฐมวัยเป็นช่วงอายุที่ควรปลูกฝังทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็น เพราะเป็นวัยที่เรียนรู้ได้เร็ว และทักษะ EF ที่สอนไปทั้งหมดก็จะติดตัวพวกเขาไปจนโต นอกจากการเรียนรู้ในห้องเรียนแล้ว เมื่อกลับมาบ้าน พ่อแม่ก็ควรสอนทักษะทางสมองในชีวิตประจำวันของลูก ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน เพื่อให้เด็กเกิดความเคยชิน และทำต่อเนื่องจนเป็นนิสัย