เด็กติดโทรศัพท์ ติดจอมือถือ จนไม่สามารถโฟกัสการเรียนได้ เป็นปัญหาที่พบเจอได้บ่อยในปัจจุบัน เพราะโทรศัพท์กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญ ถึงแม้จะมีข้อดีที่ช่วยให้ชีวิตประจำวันของเด็กสะดวกขึ้น แต่ถ้าใช้งานไม่ถูกวิธี หรือเล่นมากจนเกินไป ก็อาจส่งผลเสียต่อการเรียนไปจนถึงสุขภาพร่างกาย ดังนั้น เพื่อป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ บทความนี้จะชวนผู้ปกครองมาสังเกตุอาการเด็กติดจอ พร้อมวิธีรับมือแก้ไขปัญหา

เช็ก 5 อาการเด็กติดโทรศัพท์ แบบไหนเข้าขั้นรุนแรง
การเล่นเกม หรือดูยูทูบบนโทรศัพท์ เป็นกิจกรรมทั่วไปสำหรับเด็กยุคนี้ แต่หากลูกของคุณมีพฤติกรรมดังต่อไปนี้ นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงอาการเด็กติดจอ ที่พ่อแม่ต้องรีบปรับพฤติกรรมของลูกทันที!
1. เริ่มไม่สนใจในสิ่งที่เคยชอบ
ลูกอาจเคยชอบการวาดรูป สร้างสรรค์งานศิลปะ ร้องเพลง หรือเล่นกีฬา แต่เมื่อหันมาเล่นโทรศัพท์มากขึ้น ก็เริ่มไม่สนใจในสิ่งที่ชอบ พ่อแม่ชวนทำกิจกรรมอะไรก็ไม่สนใจ อยากดูมือถือตลอดเวลา และไม่สามารถเลิกเล่นได้
2. มีอาการสมาธิสั้น
ไม่สามารถโฟกัสอะไรเป็นเวลานาน ๆ ทั้งในห้องเรียนและชีวิตประจำวัน คิดวิเคราะห์ได้ช้าลง พูดประโยคยาว ๆ ไม่ได้ และไม่ชอบการรอ
3. ไม่ชอบการเข้าสังคม
ไม่ชอบทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ติดโทรศัพท์มากเกินไปจนไม่รู้วิธีการพูดคุยหรือเข้าหาคนอื่น เพราะปกติดูแต่หน้าจอ ไม่ได้คุยกับใครเลย เมื่อเจอสถานการณ์ที่ต้องเข้าสังคมจริง ๆ ก็มักจะหนีไปเล่นมือถือคนเดียวเงียบ ๆ
4. มีอารมณ์ก้าวร้าว รุนแรง
เด็กติดโทรศัพท์ มักจะมีอารมณ์ไม่พอใจอย่างรุนแรง เมื่อถูกห้ามไม่ให้เล่นโทรศัพท์ ทั้งการโวยวายเสียงดัง กรีดร้อง หรือกระทืบเท้า และเริ่มพูดจาต่อต้านพ่อแม่ในชีวิตประจำวัน เมื่อรู้สึกอารมณ์เสีย
5. ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ บริเวณคอและมือ
เมื่อเล่นโทรศัพท์ในท่าเดิมติดต่อกันหลายสัปดาห์ จะทำให้เด็กเกิดอาการปวดเมื่อยบริเวณข้อมือ คอ หรือบ่าไหล่ รวมถึงมีน้ำหนักขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่ได้ขยับตัวไปไหนเลย

เด็กดูโทรศัพท์เยอะ มีผลเสียอย่างไรบ้าง
โดยเฉลี่ยแล้ว เด็กเล็กไม่ควรเล่นโทรศัพท์เกิน 1 – 2 ชม. ต่อวัน หรือไม่เกิน 16 ชม. ต่อสัปดาห์ เพื่อป้องกันอาการเสพติดหน้าจอ หากปล่อยให้ลูกไม่ว่าจะอายุ 2 ขวบหรือมากกว่านั้น ติดโทรศัพท์มากเกินไป จะเกิดผลเสียดังนี้
ร่างกายอ่อนแอ
การนั่งเล่นโทรศัพท์ติดต่อกันหลายชั่วโมง ทำให้ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย มีภาวะเป็นโรคอ้วนและเบานหวาน เพราะไม่เคลื่อนไหวร่างกาย อยู่กับที่นาน ๆ และออกกำลังกายไม่เพียงพอ แถมมีปัญหาด้านสายตา เช่น สายตาสั้น ตาพร่ามัว และตาอักเสบ
พัฒนาการทางสมองช้า
เด็กติดจอมือถือจะมีพัฒนาการทางสมองช้า และไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ แสงสีฟ้าจากมือถือในตอนกลางคืน จะไปทำให้สมองเข้าใจว่าตอนนี้เวลาคือเวลากลางวัน ทำให้เด็กหลับยาก นอนหลับไม่เพียงพอ เมื่อตื่นมาก็จะไม่มีสมาธิ ความจำไม่ดี และเรียนไม่รู้เรื่อง ซึ่งแน่นอนว่าผลการเรียนก็จะแย่ตามไปด้วย
สุขภาพจิตเสีย ควบคุมอารมณ์ไม่ได้
เด็กติดโทรศัพท์ มีแนวโน้มจะมี EQ ต่ำกว่าเด็กวัยเดียวกัน เช่น ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เมื่อหงุดหงิด แสดงอาการโมโหรุนแรง ใจร้อน และอยู่ไม่นิ่งตลอดเวลา แต่ถ้าได้จับโทรศัพท์แล้วจะใจเย็นลงทันที เสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า วิตกกังวล และออทิสติกเทียมได้ด้วย หากมีอาการรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ พ่อแม่ควรพาลูกพบแพทย์โดยด่วน
ขาดทักษะเข้าสังคม
เด็กที่ดูโทรศัพท์เยอะเกินไป จะขาดปฏิสัมพันธ์ต่อเพื่อนและครอบครัว เพราะเคยชินกับการจ้องหน้าจอ และสนใจแต่สิ่งที่อยู่ในจอเท่านั้น ไม่สื่อสารกับคนรอบข้าง ทำให้เข้ากับเพื่อนในห้องไม่ได้ เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว จนสุดท้ายต้องแยกออกจากสังคมมาอยู่คนเดียว

พ่อแม่อยากให้ลูกห่างจอมือถือ ลองทำตามวิธีเหล่านี้!
1. ชวนลูกทำกิจกรรมสนุก ๆ
วิธีการห่างหน้าจอที่เวิร์กที่สุด คือการชวนไปทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับเด็กเล็ก ตัวอย่างเช่น เดินสวนสาธารณะ เที่ยวต่างจังหวัด อ่านหนังสือฝึกนิสัยรักการอ่าน หรือเล่นเกมจิ๊กซอว์ ต่อบล๊อก เพื่อเสริมสร้างทักษะการแก้ไขปัญหา จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์
หรือพาลูกไปทำกิจกรรมร่วมกับเด็กคนอื่น ๆ เช่น สนามเด็กเล่น เล่นฟุตบอล ว่ายน้ำ และลงคอร์สเรียนวาดรูป ทำอาหาร เพื่อให้เด็กรู้สึกสนุกสนาน ไม่เครียดง่าย ได้เรียนรู้สกิลใหม่ ๆ และทำความรู้จักเพื่อนรุ่นเดียวกัน
2. กำหนดเวลาเล่นโทรศัพท์ของลูก
การหักดิบไม่ให้ลูกเล่นโทรศัพท์อีกเลย อาจเป็นวิธีการที่รุนแรงเกินไป พ่อแม่ควรกำหนดตารางเวลาสำหรับเล่นมือถือให้ลูก เช่น เล่น 1 ชั่วโมงหลังจากกินข้าวเย็น และก่อนเล่นมือถือ ต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อน เพื่อให้เป็นเงื่อนไขและข้อตกลงร่วมกันทั้งครอบครัว
3. พ่อแม่ก็ต้องปรับพฤติกรรมด้วย
ผู้ปกครองบางท่านเคยชินกับการยื่นโทรศัพท์ให้ลูก เพราะขี้เกียจดูแลหรือไม่มีเวลา และส่วนใหญ่เด็กติดโทรศัพท์เพราะสาเหตุนี้ด้วย ดังนั้น พ่อแม่ควรหันมาใช้เวลากับลูกมากขึ้น และไม่ติดหน้าจอเป็นแบบอย่าง เพราะเด็กอาจมีพฤติกรรมเลียนแบบ และเกิดคำถามว่าทำไมพ่อแม่ทำได้ แต่ตนเองทำไม่ได้ เป็นต้น
สรุป
เด็กที่ติดโทรศัพท์จนไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ รู้สึกว่าพ่อแม่ไม่สำคัญเท่ากับมือถือ จะทำให้ครอบครัวสนิทกันน้อยลง กรณีนี้คุณพ่อคุณแม่คือหัวใจสำคัญของปัญหาดังกล่าว ดังนั้น ควรสังเกตพฤติกรรมลูกและแก้ไขอย่างใจเย็น ไม่ดุด่าด้วยคำพูดรุนแรง ค่อย ๆ ทำความเข้าใจเด็ก และเมื่อลูกทำได้ อย่าลืมชื่นชมลูกด้วยความภาคภูมิใจด้วย