อย่างที่เราได้พูดกันไปในบทความก่อน ๆ ว่าการเรียนรู้ในยุคศตวรรษที่ 21 จำเป็นต้องออกแบบหลักสูตรและวิธีการสอนให้ตอบโจทย์ความต้องการของเด็กมากยิ่งขึ้น อย่างการเรียนรู้ที่มีนักเรียนเป็นศูนย์กลาง ให้เด็กได้มีบทบาทในห้องเรียนอย่างเต็มที่ ก็จะช่วยให้นักเรียนสามารถโฟกัสและจดจำเนื้อหาได้ดีขึ้น ซึ่งมักจะใช้โครงงานหรือโปรเจกต์เป็นกิจกรรมหลักในการเรียนรู้ หรือที่เรียกว่า Project-based Learning เพื่อให้เด็กประยุกต์ใช้ข้อมูลและลงมือปฏิบัติอย่างเหมาะสม วิธีการเรียนรูปแบบนี้มีข้อดีอย่างไร แล้ว Project-based Learning มีทั้งหมดกี่ขั้นตอน มาดูไปพร้อมกันเลย!
Content Highlight
- Project-based Learning เป็นการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้คิดค้นวิธีการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง และทำกิจกรรมกันเป็นกลุ่มร่วมกับเพื่อน ๆ ในห้องเรียน เพื่อฝึกฝนทักษะการทำงานกันเป็นทีม
- ขั้นตอนการเรียนรู้โดยใช้โปรเจกต์เป็นฐาน เริ่มต้นจากการระบุปัญหา คิดค้นหาวิธีแก้ไขปัญหา พัฒนาต้นแบบ และทดลองใช้งานจริง หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นก็ทำการปรับแต่งวิธีการแก้ไขให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด
- เนื่องจากเป็นการเรียนรู้ที่ไม่มีข้อบังคับหรือกฎใด ๆ ทำให้เด็กสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ และช่วยกระตุ้นความรู้อยากเห็นในเด็กได้อย่างดีอีกด้วย

Project-based Learning คืออะไร
Project-based Learning คือ การเรียนรู้โดยใช้โปรเจกต์หรือโครงงานเป็นฐาน โดยหัวข้อโครงงานจะมาจากความสนใจของนักเรียนบวกกับหลักสูตรของคุณครู ซึ่งจะเป็นการเรียนรู้ในรูปแบบกลุ่ม ฝึกให้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันและกัน ทำงานกันเป็นทีม และเสริมสร้างทักษะความเป็นผู้นำ เด็กทุกคนจะได้ทั้งตั้งคำถาม สมมติฐาน ทดลองหาทางแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ฝึกประยุกต์ทฤษฎีให้สามารถใช้งานได้จริงในทางปฏิบัติ รวมถึงได้ใช้ทักษะและความคิดสร้างสรรค์ที่มี เพื่อให้โครงงานออกมาประสบความสำเร็จ
วิธีการเรียนรู้แบบ Project-based Learning มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
1. ระบุปัญหา (Defining the Problem)
การเรียนรู้แบบ Project-based Learning เริ่มต้นจากนักเรียนวิเคราะห์ว่าปัญหานั้นมีลักษณะอย่างไร ตั้งสมมติฐานว่าสาเหตุของปัญหาสามารถเกิดจากอะไรได้บ้าง เพื่อให้เด็กสามารถกำหนดขอบเขตของปัญหาได้อย่างเหมาะสม รวมถึงต้องวิเคราะห์และแจกแจงว่าหากปัญหานั้นถูกแก้ไขแล้วจะส่งผลดีต่อผู้อื่นได้อย่างไรบ้าง
2. คิดค้นวิธีการแก้ไขปัญหา (Devising a Solution)
นักเรียนค้นหา ระดมความคิด และแลกเปลี่ยนความคิดกันภายในกลุ่มของตน คุณครูควรส่งเสริมให้เด็กสามารถคิดค้นวิธีแก้ปัญหาอย่างอิสระ เพื่อต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ แต่อาจช่วยชี้แนะแนวทางเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาคร่าว ๆ รวมถึงเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนได้เสนอความคิดเห็น และแนะนำวิธีการนำความคิดเห็นของแต่ละคนมาต่อยอดให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

3. พัฒนาต้นแบบของวิธีแก้ปัญหา (Prototyping)
การพัฒนาต้นแบบหรือ Prototype ของวิธีการแก้ปัญหาใน Project-based Learning สามารถทำได้หลากหลายทาง ตัวอย่างเช่น การทำสื่อการเรียนรู้ การเล่นบทบาทสมมติ หรือสร้างโมเดลจำลองจากวัสดุต่าง ๆ รอบตัว เช่น กิ่งไม้ หนังยาง ขวดน้ำ หรือท่อพลาสติก เป็นต้น นอกจากนี้ ระหว่างที่กำลังพัฒนา Prototype อาจทำให้เด็กได้ค้นพบ Solution ใหม่ ๆ ที่นึกไม่ถึงมาก่อนด้วย
4. ทดลองและปรับแต่งแนวทางแก้ไขปัญหา (Testing and Refining the Solution)
ทดลองนำวิธีแก้ไขปัญหาที่ค้นพบไปทดสอบในสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมจริง เพื่อสังเกตการณ์ว่าวิธีแก้ไขปัญหานั้นใช้งานได้จริงหรือไม่ จากนั้นบันทึกผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น หากการทดสอบนั้นไม่สำเร็จ เด็ก ๆ ก็จะต้องวิเคราะห์ต่อไปว่าปัจจัยใดที่ทำให้การแก้ปัญหานั้นไม่สำเร็จ และสามารถปรับแต่งอย่างไรได้บ้าง ขั้นตอนนี้จะทำให้ได้ฝึกการไตร่ตรองและการตัดสินใจเลือกวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด

ตัวอย่างโครงงานในการเรียนรู้แบบ Project-based Learning
- วางแผนโปรโมตแบรนด์ใหม่ในตลาด จำลองสถานการณ์ว่ากำลังจะมีแบรนด์เสื้อผ้าใหม่เปิดตัวในท้องตลาด จากนั้นให้นักเรียนคิดค้นหาวิธีการโปรโมต คิดแผนโฆษณา หรือทำแคมเปญไปหากลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ทำแบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมไปถึงการคำนวณราคาขายที่เหมาะสม เพื่อวิเคราะห์ว่ากลุ่มไหนสามารถสร้างตัวตนของแบรนด์ออกมาได้ดีที่สุด
- การสูญพันธ์ุของไดโนเสาร์ ให้เด็กได้ลองค้นคว้าและโต้วาทีกันว่า สาเหตุที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธ์ุคืออะไร แล้วโลกของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างหลังจากที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์
- ออกแบบสนามเด็กเล่นใหม่ให้โรงเรียน ผสมผสานวิชาศิลปะและคณิตศาสตร์เข้าด้วยกัน โดยให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกแบบสนามเด็กเล่น ที่สวยงามและตอบโจทย์ความต้องการของนักเรียนทุกคน สิ่งสำคัญคือต้องคำนวณขนาดเครื่องเล่นต่าง ๆ ให้เหมาะสม และใช้พื้นที่ของสนามเด็กเล่นให้คุ้มค่ามากที่สุด

Project-based Learning มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง
“จุดเด่น” ของการเรียนรู้โดยใช้โปรเจกต์เป็นฐาน
- เด็กมีส่วนร่วมกับเนื้อหาและทักษะการจำดีขึ้น การเรียนรู้ที่ใช้โปรเจกต์เป็นฐานจะทำให้เด็กได้ลงมือทำและแก้ปัญหาจริง แตกต่างจากการเรียนรู้แบบท่องจำที่ค่อนข้างน่าเบื่อ และทำให้เด็กมีแค่องค์ความรู้อย่างเดียว แต่ประยุกต์ใช้งานจริงไม่เป็น รวมถึงเมื่อพวกเขาได้ทดลองด้วยตัวเองซ้ำ ๆ มีโอกาสที่จดจำเนื้อหาได้ดีกว่าการท่องจำอีกด้วย
- พัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม เด็ก ๆ จะได้ลองทำงานกับเพื่อน ๆ ที่มีวิธีการเรียนรู้และความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ดังนั้น เด็กแต่ละคนจะต้องรู้จักประนีประนอมและเปิดใจรับฟังมุมมองของเพื่อน เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งกัน นอกจากนี้ การได้ร่วมทำงานกับคนอื่นจะได้ฝึกทักษะการบริหารเวลาและความรับผิดชอบด้วยเช่นกัน
- ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในตัวเด็ก เพราะเด็ก ๆ จะต้องนำแนวคิดหรือทฤษฎีที่อยู่ในตำรา มาประยุกต์เพื่อให้เกิดเป็นวิธีการที่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง โดยพวกเขาจะได้ค้นหาแนวทางต่าง ๆ แบบไม่ถูกจำกัดกรอบ หรือได้ใช้ความครีเอทีฟที่มีอยู่ในตัวอย่างเต็มที่
- รองรับศักยภาพของเด็กที่แตกต่างกัน สำหรับการอธิบายบางเนื้อหาหรือบางหัวข้อ การให้คุณครูออกมาสอนหน้าห้องเรียนอาจไม่เหมาะกับวิธีการเรียนรู้ของเด็กบางคน แต่ Project-based Learning จะช่วยกระตุ้นความสนใจในตัวเด็ก พวกเขาสามารถใช้วิธีการใด ๆ ก็ได้ในแบบของตัวเอง เพื่อให้เข้าถึงและทำความเข้าใจเนื้อหาได้อย่างถ่องแท้ที่สุด
“จุดอ่อน” ของการเรียนรู้โดยใช้โปรเจกต์เป็นฐาน
- เด็กบางคนอาจมีส่วนร่วมไม่เต็มที่ เพราะหัวข้อโปรเจกต์นั้น ๆ อาจไม่ตรงความชอบของเด็กคนนั้น มีโอกาสที่เขาจะไม่เต็มที่กับการค้นคว้าเนื้อหาเท่าที่ควร รวมถึงไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ ในขั้นตอนการระดมความคิดกับเพื่อน ๆ
- อาจเกิดความขัดแย้งได้ ทั้งจากความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน หรือแบ่งงานกันไม่ลงตัว อาจทำให้ผลงานที่ออกมาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ตั้งใจไว้
สรุป
Project-based Learning มีข้อดีคือ เป็นการทำโปรเจกต์แบบปลายเปิด ไม่จำกัดกรอบความคิดของเด็ก พวกเขาจะได้งัดทุกศักยภาพที่มีออกมาใช้อย่างสุดความสามารถ คุณครูแค่คอยชี้แนะแนวทางในกรณีที่กำลังเลี้ยวไปผิดทางเท่านั้น แต่ไม่ได้บังคับว่าคำตอบหรือวิธีแก้ไขปัญหาต้องเป็นแบบไหน ซึ่งการเรียนรู้รูปแบบนี้ไม่เพียงช่วยเสริมทักษะต่าง ๆ รอบด้าน แต่เด็กสามารถนำแนวคิดที่คิดค้นขึ้นมาไปปรับใช้กับสถานการณ์ในชีวิตจริงได้ด้วย