Nurturing Environment for Active and Engaged Learners and Leaders
January 23, 2025

โรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอังกฤษ กับ หลักสูตรอเมริกัน ต่างกันอย่างไร

เทียบความต่างของหลักสูตรอังกฤษและหลักสูตรอเมริกัน ของโรงเรียนนานาชาติ

รากฐานการศึกษาคือหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งในประเทศไทยมักจะนิยมใช้ระบบการศึกษาแบบอังกฤษและอเมริกัน ที่มีความเป็นสากลและได้รับการยอมรับจากทั่วโลก เพื่อปูเส้นทางการศึกษาที่ดีให้กับลูก คุณพ่อคุณแม่อาจไม่แน่ใจว่าแล้วจะเลือกหลักสูตรไหนดี บทความจะมาเปรียบเทียบความแตกต่างของหลักสูตรอังกฤษและหลักสูตรอเมริกัน ว่ามีจุดไหนที่ไม่เหมือนกันบ้าง แล้วหลักสูตรไหนจะเหมาะกับลูกของคุณมากที่สุด  

British Curriculum

หลักสูตรอังกฤษ (British Curriculum) คืออะไร

หลักสูตรอังกฤษ (British Curriculum) เป็นหลักสูตรที่อิงตามระบบการศึกษาของประเทศอังกฤษ ขึ้นชื่อเรื่องวิชาการที่เข้มงวด และถูกออกแบบมาสำหรับนักเรียนอายุ 4 – 18 ปีโดยเฉพาะ

หลักสูตรอเมริกัน (American Curriculum) คืออะไร

หลักสูตรอเมริกัน (American Curriculum) อิงตามระบบการศึกษาของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีหลายรัฐ ทำให้เนื้อหาหลักสูตรค่อนข้างมีความหลากหลายกว่าหลักสูตรอังกฤษ

เปรียบเทียบหลักสูตรอังกฤษและอเมริกัน มีอะไรแตกต่างกันบ้าง

ในประเทศไทยมีโรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอังกฤษ และหลักสูตรอเมริกันหลายแห่งเป็นตัวเลือกให้กับลูกของคุณ ซึ่งแต่ละระบบการศึกษามีความแตกต่างกันดังต่อไปนี้

1. ระดับชั้นการศึกษา

หลักสูตรอังกฤษแบ่งชั้นเรียนด้วย Key Stages ทั้งหมด 6 ช่วง เริ่มต้นด้วย Early Years Foundation Stage (EYFS) หรือ Key Stage 0 ในระดับเนอสเซอรี่ ไล่ระดับไปเรื่อย ๆ จนถึง Key Stage 5 หรืออายุประมาณ 16 – 17 ปี โดยเรียกแต่ละชั้นว่า “Year” 

  • Key Stage 0 = เนอสเซอรี่ – Reception (อายุ 4 – 6 ปี)
  • Key Stage 1 = Year 1 – Year 2 (อายุ 5 – 6 ปี) 
  • Key Stage 2 = Year 3 – Year 6 (อายุ 7 – 10 ปี) 
  • Key Stage 3 = Year 7 – Year 9 (อายุ 11 – 13 ปี) 
  • Key Stage 4 = Year 10 – Year 11 (อายุ 14 – 15 ปี) 
  • Key Stage 5 = Year 12- Year 13 (อายุ 16 – 17 ปี)

 

ส่วนหลักสูตรอเมริกันจะแบ่งระดับชั้นออกเป็น 4 ช่วง ได้แก่ Kindergarten, Elementary School, Middle School และ High School ซึ่งจะเรียกแต่ละชั้นว่า “Grade” 

  • Kindergarten = KG (อายุ 4 – 6 ปี)
  • Elementary School = Grades 1 – 5 (อายุ 6 – 11 ปี) 
  • Middle School = Grades 6 – 8 (อายุ 11 – 14 ปี)
  • High School = Grades 9 – 12 (อายุ 14 – 18 ปี)
American Curriculum

2. รูปแบบการเรียนการสอน

หลักสูตรอังกฤษเน้นพัฒนาทักษะความรู้ต่าง ๆ แบบองค์รวมควบคู่ไปกับการค้นหาตนเอง (Self-Study) เพื่อให้รู้ตัวเองชอบอะไร ไม่ชอบอะไร และเตรียมความพร้อมสำหรับการศึกษาต่อในระดับชั้นที่สูงขึ้น ซึ่งแตกต่างจากหลักสูตรอเมริกันที่ไม่ได้ให้เด็กรีบค้นหาตัวเอง แต่มุ่งสอนให้คิดอย่างมีเหตุผลและสร้างสรรค์ เน้นพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจไปพร้อมกัน ผ่านการทำกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อนในห้องเรียน ทำให้มีความยืดหยุ่นในการเรียนรู้มากกว่าหลักสูตรอังกฤษ

3. รายวิชาหลัก

หลักสูตรอังกฤษเน้นไปที่ 3 วิชาหลักอย่างภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ที่จะต้องเรียนในทุกระดับชั้น และส่วนที่เหลืออีก 5 – 6 วิชาจะเป็นวิชาเลือกทั้งหมด ส่วนหลักสูตรอเมริกันจะเน้นสอนวิชาภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์เป็นวิชาหลัก และมีวิชาเลือกในด้านศิลปะ ประวัติศาสตร์ และพลศึกษาควบคู่ไปด้วย

Education Structure

4. วุฒิการศึกษา

ที่โรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอังกฤษจะมี 2 ช่วงที่นักเรียนต้องทำการทดสอบ เพื่อให้ได้วุฒิการศึกษาสำหรับเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ได้แก่ Key Stage 4 และ 5

  • Key Stage 4: นักเรียนจะต้องผ่านการสอบ IGCSE (International General Certificate of Secondary Education) ซึ่งจะมีหลากหลายวิชาให้เลือกเรียน เช่น กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาศาสตร์ วิชาชีพ และอีกมากมาย เพื่อให้รู้ว่าตัวเองมีความถนัดในด้านใดและสามารถเลือกวิชาเรียนในระดับต่อไปได้
  • Key Stage 5: หลังจากผ่านโปรแกรม IGCSE แล้วก็จะต้องเลือกเรียนหลักสูตรเพื่อเตรียมตัวศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย โดยจะมีให้เลือกระหว่าง IB Diploma Programme และ A-Level ซึ่งจะแตกต่างกันในด้านเนื้อหาและการประเมินผล

 

ซึ่งถ้าเป็นโรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอเมริกัน เมื่อเรียนถึงระดับชั้น High School แล้วจะต้องผ่านการทดสอบเพื่อขอวุฒิการศึกษามัธยมปลายจากหลักสูตรต่อไปนี้

  • GED: หลักสูตรการเทียบวุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลาย สำหรับระบบการศึกษานอกโรงเรียน โดยจะต้องสอบทั้งหมด 4 วิชา ได้แก่ Mathematics Reasoning, Social Studies, Science และ Reasoning Through Language Arts (RLA)
  • Advanced Placement (AP): เป็นหลักสูตรที่จัดตั้งขึ้นโดย College Board และมีเนื้อหาเข้มข้นกว่าหลักสูตรปกติ สามารถนำผลการสอบไปยกเว้นการเรียนวิชานั้น ๆ ในมหาวิทยาลัยที่สหรัฐอเมริกาได้ด้วย
  • SAT: เป็นการสอบมาตรฐานสากล โดยจะวัดความถนัดวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ (Reading & Writing) อย่างที่เกริ่นไปว่าอเมริกาเป็นประเทศใหญ่ มาตรฐานหลักสูตรของแต่ละโรงเรียนอาจจะไม่เท่ากัน ทำให้ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะสอบ GED หรือ AP มาแล้วก็ยังต้องใช้คะแนน SAT เพื่อยื่นเรียนต่อมหาวิทยาลัยในอเมริกา
British Curriculum vs. American Curriculum

เคล็ดลับการเลือกโรงเรียนนานาชาติที่เหมาะกับลูกของคุณ

  • สังเกตวิธีการเรียนรู้ของลูก: ลองพิจารณาจุดแข็ง ความสนใจ และความชอบของลูกดูว่าเหมาะกับหลักสูตรอะไร เช่น ถ้าลูกชอบความยืดหยุ่น ชอบเรียนผ่านการทำกิจกรรม ก็ควรเลือกหลักสูตรอเมริกัน เป็นต้น
  • เป้าหมายของโรงเรียน: ลองเข้าไปพูดคุยกับคุณครูเพื่อเข้าใจแนวทางการสอนของครู เนื้อหาหลักสูตร และสำรวจสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ในโรงเรียนว่าสอดคล้องกับเป้าหมายที่วางไว้ให้ลูกหรือไม่
  • เส้นทางการศึกษาในอนาคต: ถ้ามีแพลนจะส่งลูกไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร การเลือกเรียนหลักสูตรอังกฤษก็อาจจะตอบโจทย์กว่า หรือถ้าต้องการให้เรียนต่อมหาวิทยาลัยในอเมริกา การวัดผลในหลักสูตรอเมริกันก็จะตรงสายพอดี

St. Andrews Dusit โรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอังกฤษที่ดีที่สุด

ถ้าคุณพ่อคุณแม่กำลังมองหาโรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอังกฤษที่มีมาตรฐานและได้รับการันตีด้วยรางวัลจาก EDT และ ONESQA รวมถึงรางวัล ISQM ในระดับ Gold โรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส ดุสิต เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับลูกของคุณ เราตั้งใจปรับแต่งหลักสูตรอังกฤษ (British Curriculum) สำหรับเด็กอายุ 2 – 11 ปี ให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย สไตล์การเรียนรู้และทักษะของเด็กทุกคน นอกจากนี้คุณครูจะประเมินผลการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าบทเรียนและรูปแบบการสอนตรงกับความต้องการของเด็ก ๆ อีกด้วย

สรุป

ทั้งระบบการศึกษาแบบอังกฤษและอเมริกัน เป็นหลักสูตรที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยก็มีโรงเรียนนานาชาติหลายแห่งเป็นตัวเลือกให้กับลูกของคุณ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกยังไง สามารถอ่านเพิ่มเติมในบทความ “เช็กลิสต์ 5 วิธีการเลือกโรงเรียนนานาชาติสำหรับเด็กเล็กให้เหมาะกับลูก” ได้เลย