คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจประสบกับปัญหา ไม่สามารถแบ่งเวลาทำงานมาดูแลลูกได้อย่างเต็มที่ บางบ้านอาจจะพอมีญาติผู้ใหญ่คอยช่วยเลี้ยงดู แต่สำหรับผู้ปกครองคนไหนที่จำเป็นต้องทำงานเต็มเวลาจริง ๆ การส่งลูกไปสถานรับเลี้ยงเด็กหรือ “เนอสเซอรี่” ก็เป็นตัวเลือกพ่อแม่ยุคใหม่ให้ความสนใจ นอกจากจะมีคุณครูคอยสอนทักษะต่าง ๆ แล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าอนุบาลอีกด้วย แต่บางคนอาจจะมีคำถามว่าควรให้ลูกเข้าเนอสเซอรี่ดีไหม มาหาคำตอบในบทความนี้กัน!

เนอสเซอรี่ คืออะไร
เนอสเซอรี่ เป็นสถานรับเลี้ยงเด็กอ่อนช่วงก่อนเข้าสู่วัยเรียน (บางคนอาจเรียกว่าเตรียมอนุบาล) มีทั้งของเอกชนและโรงเรียน จะฝากลูกครึ่งวันหรือเต็มวันก็ได้ แล้วแต่ความต้องการของผู้ปกครอง โดยมักจะให้บริการตั้งแต่ 7 โมงเช้าจนถึงประมาณ 6 โมงเย็น เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่มาส่งลูกก่อนเดินทางไปทำงาน และกลับมารับหลังเลิกงาน
เนอสเซอรี่ เริ่มรับเลี้ยงตั้งแต่กี่ขวบ
ส่วนใหญ่แล้วเนอสเซอรี่จะรับดูแลเด็กอายุตั้งแต่ 1 – 3 ขวบ ซึ่งเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งการเคลื่อนไหว สติปัญญา และอารมณ์ เหมาะแก่การปลูกฝังทักษะพื้นฐานต่าง ๆ เพราะเป็นโอกาสทองแห่งพัฒนาการที่จะช่วยให้เด็กเติบโตอย่างสมวัย
เนอสเซอรี่ มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
สถานรับเลี้ยงเด็กบางแห่งก็คิดราคาเป็นรายชั่วโมง แต่โดยปกติแล้วจะคิดเป็นรายเดือน เริ่มต้นที่ 3,000 – 10,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง อายุของเด็ก และบริการเสริมต่าง ๆ เช่น อาหารกลางวัน กิจกรรมสันทนาการ หรือการเลี้ยงดูแบบ 2 ภาษาสำหรับพ่อแม่ที่อยากให้ลูกเข้าโรงเรียนอนุบาลนานาชาติ

เนอสเซอรี่ จำเป็นไหม มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง
ผู้ปกครองคนไหนที่กำลังชั่งใจว่าควรส่งลูกเข้าเนอสเซอรี่ดีหรือไม่ ลองอ่านข้อดีและข้อเสียของสถานรับเลี้ยงเด็กกันก่อน เผื่อจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ข้อดีของหลักสูตรเนอสเซอรี่
- ฝึกฝนทักษะและความมีวินัย แต่ละเนอสเซอรี่ก็จะมีกฎของตัวเอง เช่น เวลากินข้าว เวลานอน เข้าแถวตอนเช้า ซึ่งเด็ก ๆ ได้ฝึกฝนระเบียบวินัยและมารยาทพื้นฐานตั้งแต่ยังเล็ก
- กระตุ้นพัฒนาการแบบรอบด้าน ภายในสถานรับเลี้ยงเด็กมีพื้นที่และของเล่นเสริมพัฒนาการมากมาย เด็กจะได้ลองทำกิจกรรมใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำที่บ้าน ช่วยเสริมสร้างทักษะความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการแก้ไขปัญหา และพัฒนาการทางกายจากการวิ่ง กระโดด หรือปีนป่ายอุปกรณ์ต่าง ๆ
- ปูพื้นฐานทางวิชาการเบื้องต้น เนอสเซอรี่บางแห่งอาจมีการสอดแทรกความรู้ลงไปในกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็น การบวกลบเลข รูปร่างรูปทรง ตัวอักษรภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เป็นปูพื้นฐานความรู้ให้เด็กแบบง่าย ๆ ไม่ซีเรียส
- แบ่งเบาภาระของพ่อแม่ ผู้ปกครองจะได้โฟกัสกับการทำงานของตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่ต้องคอยพะวงว่าลูกจะกินอะไร ได้นอนกลางวันหรือยัง เพราะมีพี่เลี้ยงคอยดูแลตลอดทั้งวัน
- ลูกได้พบเจอสังคมใหม่ ๆ ในสถานรับเลี้ยงก็จะมีเด็กคนอื่น ๆ ที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน ลูกจะได้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ รู้จักวิธีการเข้าสังคมและการสื่อสาร ซึ่งเป็นทักษะทางสังคมที่จำเป็นต่อเด็กในอนาคต
ข้อเสียของหลักสูตรเนอสเซอรี่
- มีปฏิสัมพันธ์กับลูกน้อยลง การฝากเลี้ยงที่เนอสเซอรี่ ทำให้ผู้ปกครองไม่ค่อยได้ใช้เวลากับลูกเท่าที่ควร เทียบกับการเลี้ยงลูกเองที่มีแนวโน้มว่าเด็กจะสนิทกับพ่อแม่มากกว่า รวมถึงเมื่อพ่อแม่ได้มองเห็นพัฒนาการต่าง ๆ ของลูก ก็จะเกิดความภาคภูมิใจในการสั่งสอนของตัวเองอีกด้วย
- มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น ค่าบริการ ค่าน้ำมัน หรือของใช้ส่วนตัวลูก ซึ่งรวม ๆ แล้วอาจสูงกว่าค่าใช้จ่ายที่เลี้ยงลูกเองด้วย
- ความเสี่ยงในการเจ็บป่วย เพราะต้องอาศัยอยู่ร่วมกับเด็กคนอื่น ซึ่งอาจมีโรคประจำตัวหรือหากเกิดโรคติดต่อ ก็จะแพร่เชื้อได้ง่ายมาก ๆ จึงต้องพิจารณาเรื่องความสะอาดของสถานรับเลี้ยงเด็กให้ดี
5 ปัจจัยที่ใช้ในการเลือกเนอสเซอรี่สำหรับลูก
การฝากลูกที่เนอสเซอรี่ไม่ใช่ว่าเลือกที่ไหนก็ได้ แต่ต้องใส่ใจทุกรายละเอียดให้เด็กรู้สึกสบายใจเหมือนอยู่บ้าน และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยมีปัจจัยที่ต้องพิจารณา ดังนี้
- ทำเลที่ตั้ง ควรอยู่ใกล้บ้านหรือสถานที่ทำงานของพ่อแม่ เพื่อให้สะดวกต่อการไปรับ-ส่ง
- ความปลอดภัย ตั้งอยู่ในย่านที่มีคนพลุกพล่าน ไม่เปลี่ยว มีการตรวจคนเข้าและออกอย่างเข้มงวด และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา
- ความสะอาด ทั้งตัวสถานที่ อุปกรณ์ และของเล่นที่ถูกต้องตามหลักสุขอนามัย สภาพไม่เก่าหรือทรุดโทรม
- พี่เลี้ยงและบุคลากร มีใบอบรมหรือประกาศนียบัตรต่าง ๆ ที่รับรองประสบการณ์และความสามารถในการดูแลเด็ก นอกจากนี้ต้องมีจำนวนที่เพียงพอต่อจำนวนเด็ก เพื่อการดูแลอย่างทั่วถึงและใกล้ชิด
- นโยบายอื่น ๆ เช่น มีกิจกรรมเสริมพัฒนาการทางสมอง บริการดูแลสุขภาพ หรือบริการมื้อกลางวันที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อให้มั่นใจว่าลูกจะได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

ส่องหลักสูตรเนอสเซอรี่ โรงเรียนนานาชาติ St.Andrews Dusit ในกรุงเทพฯ
St.Andrews Dusit เป็นโรงเรียนเนอสเซอรี่นานาชาติที่อิงตามหลักสูตร EYFS ของประเทศอังกฤษ มุ่งเน้นในสภาพแวดล้อมห้องเรียนขนาดเล็ก โดยมีอัตราส่วนครูต่อเด็กที่ 1:4 เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของนักเรียนได้อย่างทั่วถึง และยังมีเหตุผลอีกมากมายว่าทำไมผู้ปกครองถึงไว้ใจให้เราดูแล
เปิดโอกาสให้เด็กโลดเล่นอย่างเต็มที่
หลักสูตรเนอสเซอรี่ของโรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส ดุสิต เปิดมุมมองทางการศึกษาให้กว้างขึ้น แต่ยังคงความสนุกสนานเอาไว้ ด้วยการเปิดโอกาสให้เด็กเล่นได้อย่างอิสระ มีสิ่งอำนวยความสะดวกเตรียมพร้อม ไม่ว่าจะเป็น สนามเด็กเล่น บ้านบอล และกระบะทราย ที่จะช่วยให้พวกเขามีความรู้สึกเชิงบวกกับการเรียนรู้
ปูทักษะพื้นฐานด้วยหลักสูตร Development Matters
หลักสูตร Development Matters เป็นรากฐานสำคัญในการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย หรือที่เรียกว่าสมรรถนะทั้ง 7 ด้าน สำหรับโรงเรียนเนอสเซอรี่ของเราจะมุ่งเน้นไปที่ 3 หัวข้อสำคัญด้วยกัน ได้แก่
- การสื่อสารและภาษา คุณครูและพี่เลี้ยงคอยส่งเสริมให้เด็กกล้าแสดงออก พูดให้เก่ง เพื่อเรียนรู้คำศัพท์และประโยคใหม่ ๆ
- การพัฒนาทางกายภาพ จากการหยิบของเล่น ต่อบล๊อก และการเรียนรู้นอกห้องเรียน เช่น ออกไปวิ่งเล่นกลางแจ้ง ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว
- การพัฒนาส่วนบุคคล สังคมและอารมณ์ ด้วยกิจกรรมที่ทำให้เด็กรู้สึกมั่นใจในตัวเอง และมีความสามารถในการเข้าสังคม เพื่อเลือกใช้ทักษะเข้าสังคมได้อย่างเหมาะสม
เสิร์ฟอาหารสดใหม่ทุกวัน
โรงเรียนเนอสเซอรี่ของเรามีครัวสำหรับปรุงเมนูที่หลากหลาย ทั้งอาหารคาวและหวาน ควบคุมสารอาหารโดยนักโภชนาการมืออาชีพ ไว้วางใจได้ว่าลูกน้อยของคุณจะได้รับประทานครบทั้ง 5 หมู่ นอกจากนี้ เรายังมีบริการเมนูอาหารสำหรับมังสวิรัติและเด็กที่แพ้อาหารด้วยเช่นกัน
สรุป
ถึงแม้ว่าเนอสเซอรี่จะช่วยแบ่งเบาภาระในการเลี้ยงดูลูก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ลูกได้ใกล้ชิดกับพ่อแม่ก็เป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุด ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องส่งลูกไปให้ทางเนอสเซอรี่ดูแล หลังเลิกงานก็อย่าลืมใช้เวลากับลูกน้อยให้เต็มที่ เพื่อให้พวกเขารู้สึกเติมเต็มและรู้สึกได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่ เพราะสุดท้ายแล้วเด็กก็ต้องการความรักจากคนที่บ้านมากที่สุด